In บทความ, วุฒิพงศ์ ถายะพิงค์

พลังแห่งคุณค่าความหมายและสายสัมพันธ์

ขณะที่ผู้เขียนทำกลุ่มส่งเสริมสุขภาพจิตว่าด้วยการแชริ่งความทรงจำดีดีที่ชื่นใจอยู่นั้น ผู้ร่วมกลุ่มท่านหนึ่งบอกกับผู้เขียนว่า “ชีวิตหนูไม่มีความทรงจำดีดีอะไรให้ชื่นใจเลย” แต่ผู้เขียนก็ไม่ได้สื่อสารกระไรกับผู้ร่วมกลุ่มท่านดังกล่าว เพียงแต่ปล่อยให้เขานั่งฟังผู้ร่วมกลุ่มท่านอื่นๆที่แชริ่งความทรงจำดีดีที่ชื่นใจของแต่ละคน เพราะกระบวนการทางจิตวิทยานั้นเมื่อเขาได้ฟังคนอื่นคนแล้วคนเล่าจะช่วยกระตุ้นให้เขาหันกลับมาใคร่ครวญตัวเองว่ามีความทรงจำดีดีที่ชื่นใจอะไรที่คล้ายคนอื่นบ้าง

meaning-of-life

ในที่สุดช่วงท้ายของเวลาการทำกลุ่มส่งเสริมสุขภาพจิต เขาก็ยกมือขึ้นและบอกว่า หนูได้พบความทรงจำดีดีที่ชื่นใจแล้วและพร้อมจะเล่าให้ฟัง จากนั้นเธอจึงเล่าให้ฟังว่า เธอเป็นลูกสาวคนแรกของครอบครัวแต่เท่าที่จำความได้ เมื่อเธออายุประมาณสี่ขวบเธอก็ชอบเล่นรถถังและปืนกล นั่นหมายความว่าเธอมีบุคลิกภาพและจิตใจเป็นเพศชายแต่ร่างกายเป็นเพศหญิง ซึ่งส่งผลให้พ่อของเธอไม่พอใจเป็นอย่างยิ่งที่มีลูกสาวเป็นทอม

หากวิเคราะห์ด้วยหลักการทางจิตวิทยา การที่พ่อของเธอไม่พอใจที่ลูกสาวเป็นทอมนั้นอาจเนื่องมาจากในวัยที่ลูกอายุสามถึงห้าขวบนั้นในทางจิตวิทยาลูกสาวจะเป็นลูกพ่อ ถ้าเป็นลูกชายจะเป็นลูกแม่(ปมอิเลกตราและปมออดิบุส)เป็นความผูกพันกันในเชิงเพศภาวะและเจนเดอร์(gender)นั่นเอง ดังนั้นในช่วงเวลาดังกล่าวที่พ่อพึงรู้สึกผูกพันกับลูกสาวแต่ลูกสาวกลับมีบุคลิกภาพเป็นผู้ชายจึงอาจอาจส่งผลในทางจิตวิทยาทำให้พ่อไม่พึงพอใจลูกและสื่อสารแสดงออกต่างๆที่ทำให้ลูกรับรู้และตีความหมายว่าพ่อไม่รักเขานั่นเอง

เธอเล่าต่อว่า จากนั้นอีกไม่กี่ปีแม่ก็คลอดน้องสาวของเธอออกมาซึ่งเป็นเด็กผู้หญิงที่น่ารัก ขณะที่เธอก็สังเกตเห็นว่าพ่อได้ทุ่มเทความรักให้กับน้องสาวเป็นอย่างยิ่ง แต่กลับไม่ค่อยสนใจดูแลเอาใจใส่เธอ กระทั่งแสดงกิริยาวาจาหลายอย่างที่ทำให้เธอตีความหมายว่าพ่อเกลียดเธอ จนกระทั่งทำให้เธอเองก็เกลียดพ่อและพาลเกลียดน้องสาวไปด้วย โดยเชื่อว่าน้องสาวเกิดมาแย่งความรักของพ่อไปจากเธอ จนส่งผลให้เธอประชดชีวิตด้วยการเสพยาเสพติดนั่นเอง

ความทรงจำดีดีที่ชื่นใจที่เธอเล่าให้ฟังนั่นก็คือเธอเล่าว่า เมื่อตอนเป็นเด็กเธอนอนห้องเดียวกับน้องสาวของเธอ ขณะที่น้องสาวของเธออายุประมาณ 5ขวบและเธออายุ8ขวบ เวลาดึกของคืนหนึ่งเธอได้ยินเสียงน้องสาวละเมอเสียงดังว่า “พ่อ พ่อบอกหนูว่าพ่อรักและเป็นห่วงพี่มาก พ่อบอกหนูเสมอว่ารักพี่ และหนูก็รักพี่เช่นกัน ขนมที่พ่อซื้อให้หนูแบ่งไว้ให้พี่ตลอดเลยและเก็บไว้ในตู้เก่าๆหลังบ้าน” การละเมอเสียงดังของน้องดังกล่าวทำให้เธอตื่นขึ้นในกลางดึกและจดจำเนื้อหาดังกล่าวได้

เธอเล่าต่อไปว่า พอรุ่งเช้าเธอจึงเดินไปดูที่ตู้เก่าหลังบ้านและเปิดออกมา ก็พบว่ามีขนมเก่าๆมากมายที่น้องของเธอแบ่งเก็บไว้ให้ ตามที่เขาได้ละเมอในคืนที่ผ่านมา จากนั้นผู้เขียนจึงถามเธอไปว่า “คุณเห็นคุณค่าความหมายและสายสัมพันธ์ที่ดีงามอะไรในขนมนั้นบ้าง” (เป็นวิธีการทางจิตวิทยาที่ชวนเธอค้นหาคุณค่าและความหมายที่ดีงามในสถานการณ์ดังกล่าว) ไม่มีเสียงตอบจากเธอมีแต่ความเงียบอยู่พักหนึ่ง จากนั้นเธอตอบผู้เขียนด้วยเสียงแผ่วเบาว่า “เธอคิดว่าพ่อรักเธอและน้องของเธอก็รักเธอเช่นกัน” และนั่นเป็นความคิดและความรู้สึกใหม่ที่ไม่เคยเกิดขึ้นในใจเธอเลยมานานนับ 15ปี

หลังปิดกลุ่มในครั้งนั้น ผู้เขียนจึงขอให้เธอนัดพ่อและน้องสาวของเธอมาพบกับผู้เขียนอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งเธอร่วมมือแต่โดยดี และเมื่อได้พบกันสามพ่อลูก ผู้เขียนจึงให้เธอเล่าความทรงจำดีดีที่ชื่นใจในครั้งนั้นให้พ่อและน้องสาวของเธอฟัง เธอน้ำตาซึมไปด้วยขณะที่เล่า ด้วยตลอดเวลาที่ผ่านมาประมาณ15ปี เธอคิดว่าพ่อเกลียดเธอ และเธอก็เกลียดน้องสาวของเธอด้วย และการพบกันในครั้งนั้น พ่อก็ได้บอกกับเธอว่าพ่อรักและเป็นห่วงเธอดังแก้วตาดวงใจด้วยเธอเป็นลูกคนแรก แต่พ่ออาจจะแสดงความรักและห่วงใยที่ไม่เหมาะสมจึงทำให้เธอตีความว่าพ่อเกลียดเธอ

ทั้งผู้เขียนและสามพ่อลูกสนทนากันอยู่ประมาณ 1 ชั่วโมง และผู้เขียนเชิญชวนให้ทั้งสามคนต่างแชริ่งความรู้สึกดีดีที่มีต่อกัน ซึ่งแต่ละคนไม่เคยสื่อสารกันเช่นนี้เลยตลอดเวลาที่ผ่านมาประมาณ 15 ปี ในที่สุดทั้งตัวเธอและพ่อของเธอพร้อมทั้งน้องสาวต่างก็บอกว่ารักกันและกอดคอกันด้วยน้ำตาคลอเป้าด้วยความปลาบปลื้มยินดีที่มีต่อกัน โดยทั้งสามคนไม่เคยรู้ความรู้สึกของตนเองเลยว่าที่แท้จริงจิตวิญญาณของเขาทั้งสามนั้นโหยหาคุณค่าความหมายและสายสัมพันธ์ที่ดีต่อกันนั่นเอง

ใช่เพียงแต่กรณีตัวอย่างที่ผู้เขียนเล่าให้ฟังมาเท่านั้น แต่ในสังคมทุกวันนี้ปรากฏการณ์แห่งการโหยหาคุณค่าความหมายและความสัมพันธ์นั้นมีมากมาย ต่างกรรมต่างวาระกันออกไป โดยที่เจ้าตัวไม่อาจรู้ด้วยซ้ำว่าจิตวิญญาณภายในนั้นโหยหาทั้งความสำคัญและความสัมพันธ์อยู่ตลอดเวลา แต่พฤติกรรมกลับสื่อสารที่ทำลายมิตรภาพของตนเองกับผู้อื่นอย่างไม่ว่างเว้น เมื่อไม่รู้ว่าจะสร้างมิตรภาพได้อย่างไรก็หันมาหลอกปลอบใจตัวเองว่า ฉันอยู่คนเดียวได้ ฉันมีโลกส่วนตัวของฉันเอง แต่ในความเป็นจริงนั้นอาจเป็นแค่การใช้กลไกทางจิต(defense mechamism)ที่ช่วยให้ตนเองสบายใจแค่นั้นเอง

คุณค่าและความหมายเป็นสาขาวิชาหนึ่งด้านปรัชญาภาษาอังกฤษคือaxiology เป็นวิชาที่ว่าด้วยการให้คุณค่าและความหมายที่ดีงามแก่ตนเองและผู้อื่นและสรรพสิ่งรอบข้าง เพราะการให้คุณค่าและความหมายที่ดีงามนั้น เป็นการส่งเสริมจิตใจของตนและผู้อื่นให้มีความละเอียดอ่อนงดงามและปิติยินดี ส่วนในด้านสุขภาพจิตนั้นมนุษย์เราควรพยายามอ่านคุณค่าหรือความหมายของเหตุการณ์ต่างๆในชีวิตในด้านดีให้ได้ เพราะการเห็นคุณค่าและความหมายที่ดีงามนั้นจะสร้างความภาคภูมิใจในชีวิตทั้งยังช่วยส่งเสริมสุขภาพจิตให้เข้มแข็งอีกด้วย

ส่วนสายสัมพันธ์นั้น เป็นปัจจัยสำคัญอีกอย่างหนึ่งที่จะส่งเสริมให้มนุษย์เรามีความเข้มแข็งด้านจิตใจและรู้สึกมั่นคงปลอดภัยจากการมีสายสัมพันธ์ที่ดีและมีอยู่ ไม่ว่าจะกับบุคคลในครอบครัวในที่ทำงานหรือในสังคมโดยรวม ด้วยทฤษฎีความต้องการทางจิตวิทยาทั้งของมาสโลว์(Maslow),แม็คคลีแลนด์(Mccleland),แอลเดอร์เฟอร์(Alderfer)และเมอร์เร่ย์(Merray)ต่างก็อธิบายไว้สอดคล้องกันว่า มนุษย์ทุกคนต้องการความสำคัญและความสัมพันธ์ที่ดีงามด้วยกันทั้งสิ้น ทั้งยังมีความสุขจากความสัมพันธ์และความผูกพันนั้นอีกด้วย

นอกจากนั้นโฮวาร์ด การ์ดเนอร์(Howard Gardner) ศาสตราจารย์ด้านจิตวิทยาพัฒนาการจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ยังได้ยกระดับให้ผู้ที่มีความสามารถในการสร้างความสัมพันธ์กับผู้อื่นได้ดีให้เป็นหนึ่งในอัจฉริยะทั้งแปดด้าน กล่าวคือผู้ที่สามารถสร้างความสัมพันธ์กับผู้อื่นได้เป็นอย่างดีถือเป็นบุคคลที่เป็นอัจฉริยะ(Interpersonal Intelligen)อีกด้านหนึ่งนั่นเอง

บุคคลที่มีความสามารถในการสร้างและสานความสัมพันธ์และมิตรภาพทั้งตนเองและผู้อื่นได้เป็นอย่างดีนั้น เอ็ดวาร์ด ลี ธอร์นไดค์ (Edward Lee Thondike) นักจิตวิทยาชาวอเมริกัน ยังอธิบายไว้ว่าผู้ที่มีคุณลักษณะดังกล่าวเป็นผู้ที่มีความฉลาดทางสังคม(Social Quotien หรือ Social intelligence) ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในสร้างความสำเร็จอย่างแท้จริงให้กับคนเราในทุกๆวงการอีกด้วย

หัวใจสำคัญของการเป็นคนที่สามารถสร้างและสานความสัมพันธ์ทางสังคมได้ดีนั้นต้องมีลักษณะสำคัญสองประการคือ1)เห็นคุณค่าของตนเอง และ 2)เห็นคุณค่าของผู้อื่น กล่าวคือการเห็นคุณค่าของตนเองนั้นคือการมองตนเองในด้านดีมีความภาคภูมิใจในตนเองไม่ดูถูกเหยียดหยามตนเอง ส่วนการเห็นคุณค่าของผู้อื่นนั้นหมายถึง การเห็นคุณค่าที่ดีงามของผู้อื่นมองผู้อื่นในด้านดีแม้อาจมีความบกพร่องอยู่บ้างก็ตาม แต่ต้องมองให้เห็นคุณค่าในสิ่งที่ดีงามและมีความรู้สึกที่ดีต่อผู้อื่นนั่นเอง หากทำได้เช่นนี้มิตรภาพจะเริ่มเกิดขึ้นในจิตใจของตนเองทันที

การให้คุณค่าความหมายและสายสัมพันธ์ที่ดีนั้นช่วยสร้างเสริมสุขภาพจิตและสร้างความเข้มแข็งทางจิตใจแก่คนเราได้อย่างดียิ่ง ทั้งความสัมพันธ์ส่วนตัว ครอบครัว หน้าที่การงานและสังคมโดยรวม แม้กระทั่งวิทยาการด้านการตลาดก็ยังให้คุณค่ากับการสร้างและรักษาความสัมพันธ์กับลูกค้า จึงได้จัดตั้งแผนกลูกค้าสัมพันธ์ขึ้นเพราะการมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันนั้นจะลดปัญหาความขัดแย้งการร้องเรียนและความแตกแยกได้เป็นอย่างดี

เมื่ออ่านมาถึงตรงนี้ผู้เขียนขอเชิญชวนผู้อ่านทุกท่านโปรดหันมาค้นหาคุณค่าและความหมายที่ดีงามของชีวิตในด้านต่างๆ แม้ในสถานการณ์ที่อาจย่ำแย่ก็ตาม เมื่อเราเห็นคุณค่าและความหมายที่ดีงามจะทำให้ชีวิตเรามีพลังและต่อสู้ต่อไปได้อย่างเข้มแข็ง ขณะเดียวกันก็พึงแสวงหาและรักษาความสุขจากความสัมพันธ์และความผูกพันกับบุคคลใกล้ชิดให้แนบแน่น เพราะในท้ายที่สุดคุณค่าความหมายและสายสัมพันธ์จะเป็นทั้งเครื่องมือและเครื่องชี้วัดความสงบสุขในชีวิตได้เป็นอย่างดี

Assoc. Prof. Dr. วุฒิพงศ์ ถายะพิงค์

นักส่งเสริมสุขภาพจิตด้วยสหศาสตร์ ประธานสถาบันพัฒนาศักยภาพมนุษย์และกลยุทธ์สู่ความสำเร็จ wuttipong academy นักเขียนด้านสุขภาพจิตการสื่อสารและศาสนาปรัชญา สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, มติชน, อมรินทร์ธรรมะ, ซีเอ็ด, ดีเอ็มจี และวิชบุ๊ก

Recommended Posts