ความไว้วางใจ
วิ ภาได้รับการเลี้ยงดูมาอย่างเข้มงวด พ่อแม่รักและหวงแหนเธอมากไม่ค่อยอนุญาตให้เธอเดินทางไปไหนด้วยตนเองมาตั้งแต่เด็ก แม้เรียนในระดับมหาวิทยาลัยพ่อแม่ก็ยังให้คนขับรถไปรับ-ส่งตามเวลา ชีวิตของเธอเติบโตมาจากวิธีการเลี้ยงดูด้วยคำว่า “อย่า” เช่นอย่าข้ามถนนเอง อย่าเดินคนเดียว อย่ารับของของคนอื่น อย่าไปไหนโดยไม่ได้รับอนุญาต อย่ากินอาหารเกิน 3 เวลา อย่าโทรศัพท์นาน อย่าฯลฯ จนเป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้วิภาไม่ค่อยกล้าตัดสินใจและกลายเป็นคนที่มีบุคลิกภาพแบบหวาดระแวงและขาดการไว้วางใจตัวเองและผู้อื่น วิภาเป็นคนเรียนหนังสือเก่งเพราะไอคิวสูง เธอเรียนหนังสือจบปริญญาโทจากมหาวิทยาลัยชื่อดังของประเทศ แต่ชีวิตส่วนตัวและชีวิตการทำงานของเธอกลับไร้ความสุขเพราะเธอรู้สึกหวาดระแวงผู้ร่วมงานว่าจะทำงานกับเธออย่างไร้ประสิทธิภาพและเธอมักจะติดตามงานจากลูกน้องอย่างใกล้ชิดจุกจิก จู้จี้จนลูกน้องรู้สึกรำคาญหลายคนทนไม่ไหวจึงลาออกงานเพราะเจ้านายจุกจิกหวาดระแวงและขาดความไว้วางใจผู้อื่น ส่วนด้านชีวิตครอบครัวเธอก็จุกจิกจู้จี้เข้มงวดกับทั้งลูกและสามีจนทุกคนรู้สึกอึดอัดใจ และในที่สุดเธอเองก็รู้สึกอึดอัดคับข้องใจหวาดหวั่นใจ ไร้ความสุขอันเกิดจากการขาดความไว้วางใจตนเองและผู้อื่น จนเป็นเหตุให้ต้องมาปรึกษากับนักวิชาการสุขภาพจิตในที่สุด นั่นคือผลลัพธ์ของชีวิตที่ขาดความไว้วางใจทั้งตนเองและผู้อื่นนั่นเอง
ความไว้วางใจ หมายถึง ความเชื่อมั่นหรือความไว้เนื้อเชื่อใจ การที่เราไว้วางใจผู้อื่น ก็คือเรามีความเชื่อมั่นในตัวของคนคนนั้น เชื่อมั่นในความซื่อสัตย์ ความนอบน้อม ความกล้าหาญ ความรับผิดชอบ และฝีมือของเขา ขณะเดียวกันหากไม่ไว้วางใจใครเราก็จะไม่เชื่อมั่น หวาดระแวง และสงสัยในทุกเรื่องของคนคนนั้นเช่นกัน
สตีเฟน เอ็ม.อาร์. โควีย์ (Stephen M.R. Covey) นักคิดนักเขียนชาวตะวันตกได้อธิบายไว้ว่าความไว้วางใจเกิดจากปัจจัยสองอย่าง คือ คุณลักษณะ และฝีมือ ทั้งสองอย่างถือว่าสำคัญยิ่ง ขาดสิ่งใดไปไม่ได้ คุณลักษณะนั้นหมายรวมถึงความซื่อสัตย์ ความนอบน้อม ความกล้าหาญ ความรับผิดชอบ มูลเหตุจูงใจ และเจตนาที่มีต่อผู้อื่น ส่วนฝีมือ คือความรู้ ความสามารถ ประวัติการทำงาน ทักษะในการทำงาน และผลงานที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม นั่นเป็นเพียงปัจจัยหลักของการสร้างความไว้วางใจ แต่สำหรับคนที่ไม่เคย หรือไม่ค่อยไว้วางใจตนเองและผู้อื่นจะทำอย่างไร ปัญหาเช่นนี้พบได้เสมอในสังคมยุคปัจจุบันดังเช่นตัวอย่างของวิภาดังกล่าวมาแต่ต้น ถือเป็นปัญหาทางสุขภาพจิตอย่างหนึ่งที่ผู้เข้ารับการปรึกษาปัญหาสุขภาพจิตมักจะพูดว่า “ผมขาดความมั่นใจในตนเอง” “ดิฉันไม่ค่อยเชื่อมั่นเขาเท่าไหร่” “ผมไม่ค่อยไว้วางใจลูกน้องคนนี้นักต้องคอยตรวจสอบการทำงานกันตลอดเวลา” “ดิฉันหวาดระแวงเสมอเวลาที่ต้องทำงานร่วมกับเขา” ฯลฯ คำพูดเหล่านี้สะท้อนแง่มุมอีกด้านที่มิใช่การสร้างคุณลักษณะและฝีมือ เหมือนดังที่สตีเฟน เอ็ม.อาร์.โควีย์ เสนอไว้ แต่เป็นเรื่องของคนที่ขาดความไว้วางใจในสิ่งที่สามารถไว้วางใจได้มากบ้างน้อยบ้างต่างกันไปตามแต่กรณี
คำตอบของปัญหาเหล่านี้คือ เกิดจากการที่คนเราขาดความสำนึกรู้คุณค่าในตัวเองและผู้อื่นนั่นเอง และสาเหตุเชิงลึกของการขาดการสำนึกรู้คุณค่าก็เกิดจากการขาดความภาคภูมิใจ ขาดความมั่นใจและขาดวัคซีนใจนั่นเองและหากคนเราค้นหาความดีหรือคุณค่าที่ตนเองและผู้อื่นมีได้ ก็จะส่งผลให้จิตใจเกิดความไว้วางใจขึ้นโดยอัตโนมัติแล้วเมื่อนั้นคลื่นความถี่แห่งการไว้วางใจซึ่งกันและกันก็จะเป็นพลังฝ่ายกุศล ส่งผลให้เกิดการคลี่คลายปัญหาสารพัดได้อย่างน่าอัศจรรย์ใจ
แทบไม่น่าเชื่อว่าผลจากการสำนึกรู้คุณที่ก่อให้เกิดความไว้วางใจตามหลักอานุภาพ 10 ประการแห่งการสำนึกรู้คุณ ซึ่งผู้เขียนได้คิดขึ้นและนำเสนอไว้ใน หนังสือปาฏิหาริย์แห่งการสำนึกรู้คุณนั้น จะไปตรงกับที่สตีเฟน เอ็ม.อาร์. โควีย์ เขียนไว้ในหนังสือเรื่อง “The SPEED of Trust : The One Thing That Changes Everything” ซึ่งมีผู้นำมาแปลเป็นภาษาไทยว่า “พลานุภาพแห่งความไว้วางใจ”
หนังสือเล่มดังกล่าวได้นำเสนอข้อดีของความไว้วางใจไว้อย่างน่าสนใจยิ่งนั่นคือ เขามองความไว้วางใจในเชิงเศรษฐศาสตร์ว่า เมื่อไหร่ที่ความไว้วางใจสูง ความเร็วสูง ต้นทุนจะต่ำ แต่เมื่อไหร่ที่ความไว้วางใจต่ำ ความเร็วต่ำ ต้นทุนจะสูง กล่าวคือ เมื่อคนเรามีความไว้วางใจทั้งต่อตนเองและต่อผู้อื่นแล้ว จะช่วยให้การตัดสินใจต่าง ๆ ที่มีต่อกันเป็นไปอย่างรวดเร็ว ส่งผลต่อการลดต้นทุนทั้งเวลา งบประมาณและทุนทางสังคมอื่น ๆ อีกมาก ในทางตรงกันข้าม หากคนเราไม่ไว้วางใจกันแล้ว เมื่อต้องทำอะไรร่วมกันก็จะเกิดความหวาดระแวง ตรวจสอบกันครั้งแล้วครั้งเล่า จึงทำให้ใช้เวลามาก กลายเป็นความล่าช้า ต้นทุนของเวลา งบประมาณและสิ่งต่าง ๆ ก็จะสูงตามด้วย ดังนั้นหากคนเรามีความไว้วางใจกัน ก็จะส่งผลดีรอบด้านและเอื้อต่อการดำรงชีวิตที่มีคุณภาพ ช่วยประหยัดทั้งงบประมาณ ประหยัดเวลา ประหยัดทุนทางวัตถุธรรมต่าง ๆ แถมยังเป็นการขยายทุนทางสังคม (social capital) ที่มีประสิทธิภาพที่สุดอีกด้วย
แม้ในแวดวงอุตสาหกรรมบริการและการบริการทั้งภาครัฐและเอกชนต่างก็ให้ความสำคัญกับการพัฒนาความไว้วางใจของลูกค้าที่มีต่อสินค้าและองค์กร ซึ่งต่างจากในอดีต ที่ให้ความสำคัญกับการสร้างความพึงพอใจและความประทับใจเท่านั้น แต่หากมีการพัฒนาคุณภาพสินค้าและบริการให้เป็นเลิศ ตลอดจนสร้างและรักษาความสัมพันธ์กับลูกค้าอย่างต่อเนื่อง จนสินค้าและองค์กรไปนั่งอยู่ในหัวใจของผู้รับบริการได้ เมื่อนั้นแหละความไว้วางใจจะเกิดขึ้น นำมาสู่ความภักดีต่อสินค้าและองค์กรได้ แม้หน่วยงานราชเอง ตั้งแต่ปี 2553 สำนักงานพัฒนาข้าราชการพลเรือนก็กำหนดให้หน่วยราชการต่าง ๆ พัฒนาและเก็บข้อมูลระดับความไว้วางใจของผู้รับบริการที่มีต่อการบริการและองค์กร เช่น ในปีที่ผ่านมา ผู้เขียนต้องทำวิจัยเชิงสำรวจระดับความไว้วางใจของผู้รับบริการในเขต 13 จังหวัดภาคเหนือที่มีต่อการบริการของหน่วยงานที่ผู้เขียนทำงานอยู่ พบว่า ได้รับความไว้วางใจ มากกว่าร้อยละ 80 ตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้เป็นต้น
ความไว้วางใจเป็นความรู้สึกฝ่ายบวกที่จะส่งผลต่อตนเองและผู้อื่นที่ยังช่วยสร้างความสัมพันธ์ทางสังคมได้ ส่วนในทางเศรษฐศาสตร์นั้น ความไว้วางใจยังช่วยลดต้นทุนทั้งเวลาและเงินตราได้เป็นอย่างดี ผู้เขียนพบว่ามีงานวิจัยมากมายที่กล่าวถึงคุณประโยชน์ของความไว้วางใจ เช่น ที่คณะบริหารธุรกิจแห่งมหาวิทยาลัยวอร์วิกในอังกฤษ ได้รายงานผลการวิจัยไว้ว่า สัญญาว่าจ้างต่าง ๆ ที่ทำกับ องค์กรภายนอกด้วยความไว้วางใจนั้น จะให้ปันผลสูงกว่ามูลค่าสัญญาถึงร้อยละ 40 ขึ้นไป แทนที่จะเป็นการออกกฎข้อบังคับหรือบทลงโทษในแง่มุมต่าง ๆ ในขณะที่งานวิจัยของวัตสัน ไวแอตต์ ในปี 2002 ก็ยืนยันว่า ปันผลที่ผู้ถือหุ้นได้รับจากองค์กรที่มีความไว้วางใจสูงนั้น มีจำนวนมากกว่าองค์กรที่มีความไว้วางใจต่ำเกือบสามเท่าตัว
ส่วนผลงานวิจัยทางการศึกษาโดยโทนี่ เบิร์ก ศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดก็พบว่า เด็กนักเรียนที่มาจากโรงเรียนที่มีความไว้วางใจสูง สามารถพัฒนาฝีมือการทำคะแนนได้ดีกว่าเด็กที่มาจากโรงเรียนที่มีความไว้วางใจต่ำถึงสามเท่าตัว ส่วนในระดับบุคคลผู้ที่มีความไว้วางใจสูงก็จะได้รับการเลื่อนขั้นเงินเดือนมากขึ้น ได้โอกาสที่ดีที่สุดและมีความสัมพันธ์ที่ราบรื่นกับผู้บังคับบัญชาผู้ร่วมงานและบุคคลรอบข้างที่เปี่ยมด้วยความหมายเช่นกัน
แม้กระทั่งเมื่อคณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดต้องการข้อมูลขั้นพื้นฐานที่สำคัญสามข้อจากผู้ที่เขียนจดหมายรับรองนักศึกษา หนึ่งในสามข้อนั้นก็คือ ความไว้วางใจ โดยทางคณะเน้นหนักที่จะพัฒนาผู้นำ ซึ่งจะสามารถจุดประกายความไว้วางใจและความเชื่อมั่นในตัวผู้อื่นได้ ด้วยการระบุให้ผู้ที่เขียนจดหมายรับรองนักศึกษา ได้โปรดให้ความเห็นต่อพฤติกรรมของผู้สมัครทั้งในเรื่องของความเคารพนับถือที่มีต่อผู้อื่น ความซื่อสัตย์ ความนอบน้อมและความกล้าหาญ รวมถึงความรับผิดชอบต่อพฤติกรรมของตนเองที่ผ่านมา นั่นก็เพราะสิ่งเหล่านี้สามารถใช้เป็นเครื่องชี้วัดการเป็นผู้ที่ไว้วางใจได้ทั้งสิ้น
การไม่ไว้วางใจกับคดโกงมักเป็นของคู่กัน สตีเฟ่น เอ็ม.อาร์.โควีย์ เขียนไว้ในหนังสือ “The SPEED of Trust: The One Thing That Changes Everything” เกี่ยวกับการโกงข้อสอบเข้าเรียนต่อในระดับปริญญาโทที่สหรัฐอเมริกา ว่ามีการโกงดังต่อไปนี้ สาขาบริหารธุรกิจ ร้อยละ ๗๕ สาขากฎหมาย ร้อยละ ๖๓ สาขาแพทย์ศาสตร์ ร้อยละ ๖๓ สาขาศึกษาศาสตร์ ร้อยละ ๕๒ และสาขาศึกษาศิลปะศาสตร์ ร้อยละ ๔๓ หากพิจารณาข้อมูลดังกล่าวแล้ว ลองคิดดูว่าคุณจะเสี่ยงแค่ไหน ถ้าต้องผ่าตัดกับแพทย์ที่เคยโกงข้อสอบมาก่อน หรือจะมีความเสี่ยงเพียงไร หากต้องทำงานในบริษัทที่ผู้บริหารเคยทุจริตข้อสอบ ทั้งยังมองว่าความซื่อสัตย์ไม่ใช่เรื่องสำคัญอีกต่างหากไม่เพียงเท่านั้น ยังมีข้อมูลที่แสดงให้เห็นว่า มหาบัณฑิตธุรกิจถึงร้อยละ ๗๖ เต็มใจที่จะแจ้งค่าใช้จ่ายต่ำกว่าความเป็นจริง เพื่อให้บริษัทมีกำไร ในขณะที่นักโทษความประพฤติดีสามารถทำคะแนนได้ในระดับเดียวกับนักศึกษาบริหารธุรกิจ จากการทำข้อสอบจริยธรรม
เรื่องของความคดโกงนั้น นับเป็นปัญหาสำคัญระดับประเทศเลยทีเดียว ผู้นำของหลายประเทศที่กำลังพัฒนาและด้อยพัฒนา ซึ่งมีบทบาทสำคัญต่อวงการต่าง ๆ ในบ้านเมือง มักจะจงใจหลบเลี่ยงการชำระภาษีให้แก่แผ่นดิน ไม่ยอมแสดงความโปร่งใสของทรัพย์สินก่อนเข้ารับตำแหน่งสำคัญ ๆ ของประเทศ ทั้งพยายามใช้ช่องโหว่ของกฎหมายและพยายามแก้กฎหมายเพื่อเอื้อประโยชน์ต่อตนและพรรคพวก โดยอ้างเหตุผลที่พอจะมีอยู่บ้าง แต่ก็ฟังไม่ขึ้นนักว่า เป็นการทำเพื่อประโยชน์ส่วนรวมหรือเพื่อประโยชน์ของสาธารณะชน ปรากฏการณ์ทำนองนี้สร้างความแตกแยกในสังคมให้เห็นมาแล้วหลายประเทศทั่วโลก นั่นเพราะผู้นำขาดความเชื่อมั่นในความซื่อสัตย์ จึงนำมาสู่วิกฤติศรัทธาและความไม่ไว้วางใจ เริ่มตั้งแต่ระดับบุคคลจนส่งผลกระทบต่อสังคมโดยรวม ฤาผู้ที่สร้างความไม่ไว้วางใจให้เกิดขึ้นแก่ตัวเองและผู้อื่นได้ ก็คือผลลัพธ์ของพฤติกรรมที่เกิดจากจิตอันเนรคุณนั่นเอง
หากทุกคนประสงค์จะเป็นบุคคลที่ไว้วางใจในตนเองและผู้อื่นได้ก็สามารถสร้างได้ด้วยการเลี้ยงดูและเติบโตมาอย่างเป็นผู้ที่ได้รับวัคซีนใจที่ดี มีความภาคภูมิใจในชีวิตและมีความมั่นใจในตัวเอง จะส่งผลให้เป็นผู้ที่มีความไว้วางใจในตนเองและผู้อื่นได้จะช่วยให้ชีวิตพบกับความสุขและความสำเร็จในทางโลกได้อย่างแท้จริง