“คุณแม่ค๊ะ หนูอยากรู้จักรากเง้าของตัวเองค๊ะ” นั้นเป็นคำพูดของน้องออยที่สื่อสารกับคุณแม่อดีตผู้ที่เคยดูแลเธอที่สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าแห่งหนึ่ง เมื่อครั้งไปรับน้องออยที่สนามบินในวันที่เธอลาครอบครัวอุปถัมภ์จากต่างประเทศเพื่อกลับมาเยี่ยมเมืองไทย “ค๊ะลูก” คุณแม่ตอบน้องออยด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบาและระคนไปด้วยความครุ่นคิดว่า จะไปตามหารากเง้าของน้องออยได้อย่างไร
วันต่อมาคุณแม่ที่เคยเลี้ยงดูเธอมาก็กลับไปค้นดูในเวชระเบียนแรกรับที่บ้านเด็กกำพร้า พบว่าน้องออยเป็นทารกที่ถูกนำมาทิ้งไว้ที่ปากซอยแห่งหนึ่งย่านชานเมือง โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจนำส่งโรงพยาบาลประจำจังหวัดเพื่อให้การบริบาลเบื้อนต้น ก่อนที่จะส่งเธอมาให้สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าเป็นผู้ดูแลอยู่เกือบ15ปี จนกระทั่งมีครอบครัวอุปถัมภ์จากต่างชาติมารับไปเลี้ยงดู จนเธอเรียนจบปริญญาตรีที่ต่างประเทศและกลับมาเยี่ยมเมืองไทยในครั้งนี้
วันต่อมาทั้งคุณแม่และน้องออยก็เดินทางไปตามหารากเง้าตามแผนที่ ที่อธิบายไว้ในเวชระเบียน เมื่อไปถึง ก็พบว่าจุดที่เธอถูกนำมาทิ้งไว้เป็นบริเวณปากซอยแห่งหนึ่งย่านชานเมืองโดยที่ด้านซ้ายของซอยติดกับธนาคาร ส่วนด้านขวาติดกับห้างสรรสินค้า ทั้งคุณแม่จากบ้านเด็กกำพร้าและน้องออยต่างก็ยืนอยู่ที่ทางเท้าตรงปากซอยด้วยกัน “ตรงนี้ค๊ะลูก คือจุดที่เป็นรากเง้าซึ่งเจ้าหน้าที่มาพบลูกเป็นครั้งแรกก่อนที่จะนำหนูส่งมาให้คุณแม่เลี้ยงดูอะค๊ะ” คุณแม่พูดในขณะที่มือขวาก็ชี้ไปที่ปากซอย พร้อมถามน้องออยต่อไปว่า “หนูมองเห็นอะไรในบริบทแวดล้อมบริเวณนี้บ้างค๊ะ”
#การปรับมุมมอง ค้นหาความหมายชีวิต
#เป็นพลังที่ช่วยชีวิตเราให้ดีงาม
#เป็นพลังที่ช่วยชีวิตเราให้ดีงาม
ห นูเห็นว่าข้างซอยเป็นธนาคารและห้างสรรพสินค้าค๊ะ” น้องออยตอบคุณแม่ด้วยน้ำเสียงที่เนิบช้า “แล้วหนูเห็นความหมายอะไรที่น่าจะเกี่ยวข้องกับตัวหนูบ้างค๊ะ” คุณแม่จากบ้านเด็กกำพร้าถามต่อ “หนูคิดว่าการที่แม่นำหนูมาทิ้งไว้ที่นี่ น่าจะอยากให้คนที่มีเงินและพร้อมจะเลี้ยงดูหนูได้มาพบค๊ะ แม่อาจคิดว่าคนที่มาเดินบริเวณนี้คือที่มาธนาคารและห้างสรรพสินค้าน่าจะเป็นคนมีอันจะกินอะค๊ะ” น้องออยตอบคุณแม่ด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยจะแน่ใจนัก “แล้วหนูเห็นความหมายที่ลึกซึ้งดีงามอะไรที่แม่ได้ทำอีกค๊ะ” คุณแม่จากบ้านเด็กกำพร้ายิงคำถามต่อเพื่อชวนน้องออยค้นหาคุณค่าและความหมายดีๆในเหตุการณ์ดังกล่าว
“หนูคิดว่าแม่คงปรารถนาให้หนูมีชีวิตอยู่ค๊ะ เพราะหากไม่อยากให้หนูมีชีวิตอยู่ แม่เอาหนูไปโยนทิ้งในป่าหรือในน้ำที่อื่นก็ได้ ไม่จำเป็นต้องนำมาวางไว้ที่ปากซอยแห่งนี้” สิ้นเสียงตอบจากน้องออยคุณแม่ทวยซ้ำประโยคที่เขาพูด “หนูบอกว่าคุณแม่ปรารถนาให้หนูมีชีวิตอยู่” “ใช่ค๊ะแม่ปรารถนาให้หนูมีชีวิตอยู่” น้องออยตอบกลับคุณแม่จากบ้านเด็กกำพร้าโดยไม่ลังเล “แล้วหนูเห็นความหมายอะไรที่ลึกซึ้งลงไปอีกในคุณแม่ของหนูค๊ะ” คุณแม่จากบ้านเด็กยิงคำถามต่ออย่างใคร่ครวญ
น้องออยยืนนิ่งสงบ มองหน้าคุณแม่จากบ้านเด็กหญิงดวยสีหน้าครุ่นคิดโดยไร้เสียงตอบใดๆ ขณะที่คุณแม่เองเมื่อเห็นว่าน้องออยนิ่งไปนาน จึงทวนซ้ำประโยคเดิมที่เธอถาม “แล้วหนูเห็นความหมายที่ลึกซึ้งอะไรในคุณแม่ของหนูบ้างค๊ะ” สิ้นเสียงถามจากคุณแม่รอบที่สอง น้องออยก็เริ่มมีน้ำตาเอ่อล้นจากเป้าตาและไหลรินลงมาอาบแก้มของเธอพร้อมคำพูดที่ระคนเสียงสะอื้นเบาๆ “หนูเห็นว่าแม่รักหนูค๊ะ หนูเห็นว่าคุณแม่รักหนูค๊ะ” เธอพูดประโยคนี้ซ้ำไปซำมาอย่างละล่ำละลัก พร้อมกับคว้ามือคุณแม่จากบ้านเด็กหญิงมากุมไว้อย่างแน่นเหนียว จากนั้นทั้งน้องออยและคุณแม่จากบ้านเด็กหญิงต่างก็ยืนน้ำตาไหลโดยไร้เสียงพูดใดๆอยู่บริเวณปากซอย จนกระทั้งขับรถออกมาจากสถานที่ดังกล่าว
เหตุการณ์ที่น่ายินดีก็คือ ภายหลังจากที่น้องออยบินกลับไปหาครอบครัวอุปถัมภ์ที่ต่างประเทศแล้ว พ่อแม่อุปถัมภ์ชาวต่างชาติของน้องออยได้โทรศัพท์มาหาคุณแม่ที่บ้านเด็กกำพร้าพร้อมทั้งเล่าให้ฟังว่า “เอ!ไม่รู้ว่าน้องออยไปทำอะไรที่เมืองไทย หลังกลับจากเมืองไทยครั้งนี้เขาเปลี่ยนไปมาก กลายเป็นคนที่แจ่มใสร่าเริง มีชีวิตชีวา มีความรับผิดชอบทุกอย่างในชีวิตอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน และยังพูดว่า แม่รักหนู หนูรู้ว่าความจริงแม่รักหนู” ขณะที่คุณแม่จากบ้านเด็กหญิงก็ตอบไปว่า “เขาคงมีความสุขที่ได้พบรักอันยิ่งใหญ่ในคุณแม่ของเขา อย่างที่เขาไม่เคยคิดมาก่อน เพราะตั้งแต่เขาเติบโตขึ้นมา เขาคิดแต่ว่าแม่ไม่รักเขาจึงนำเขามาทิ้งไว้ที่บ้านเด็กกำพร้า แต่การกลับมาเมืองไทยครั้งนี้ มีเหตุการณ์ที่เอื้อต่อการเปลี่ยนมุมมองของเขาที่ชี้ให้เห็นว่า ความจริงแม่รักเขาและปรารถนาให้เขามีชวิตอยู่”
นั่นเป็นเรื่องราวในชีวิตจริง ที่ผู้ร่วมวิชาชีพของผู้เขียน ซึ่งเคยเป็นผู้ดูแลน้องออยมาแต่เด็ก เล่าให้ฟัง เมื่อครั้งที่เรานั่งสนทนากันเรื่องของทฤษฏีรากเง้าและการให้การปรึกษาแบบตีความและปรับมุมมมองพร้อมทั้งพลังแห่งความรัก
เรื่องนี้ให้ข้อคิดที่สำคัญแก่เราว่า การปรับมุมมองและการค้นหาคุณค่าและความหมายที่ดีงามของชีวิตให้พบ แม้ในเหตุการณ์ที่มองว่าย่ำแย่นั้น จะเป็นพลังอันยิ่งใหญ่ที่ช่วยพลิกผันชีวิตของเราให้ดีงามและสูงส่งขึ้นได้ยิ่งขึ้น นอกจากนั้นในด้านพุทธปรัชญา พระพุทธองค์ยังได้อธิบายไว้ว่าการได้มาเกิดเป็นมนุษย์นั้นยากยิ่ง และมีคุณค่าอย่างที่สุด ไม่ว่าจะเกิดมายากดีมีจนพิกลพิการหรือกำพร้าก็ล้วนมีคุณค่าอยู่ในตนเองทั้งสิ้นเพราะมีกายมีจิตไว้ให้เป็นเครื่องมือเรียนรู้และพัฒนาตนเอง จนหลุดพ้นจากทุกข์ได้โดยสิ้นเชิง แม้พระพุทธเจ้าทุกพระองค์หากจะตรัสรู้ยังต้องเกิดมาเป็นมนุษย์ก่อนทั้งนั้น แล้ววันนี้ทุกท่านได้ค้นพบความรักความหมายและคุณค่าที่ดีงามในชีวิตกันแล้วหรือยัง