“ห้ามคิดว่าเขาเรียกร้องความสนใจ และห้ามคิดว่าเขาจะไม่ทำจริง”
เ มื่อวันที่ 24 เมษายนที่ผ่านมา ข่าวพ่อวัยหนุ่มไลฟ์สดแขวนคอลูกสาว จากนั้นจึงแขวนคอตัวเองตายตามนั้น เป็นข่าวที่โด่งดังทั้งสื่อสารมวลชนและสื่อสังคมออนไลน์ เชื่อว่าคนไม่น้อยที่รับรู้ข่าวนี้ ความจริงข่าวทำนองนี้ก็เกิดขึ้นเป็นระยะๆ ทั้งที่เป็นข่าวดังบ้างไม่ดังบ้าง ซึ่งกรมสุขภาพจิตรายงานสถิติผู้ที่ฆ่าตัวตายได้สำเร็จในเมืองไทยเมื่อปี 2548 พบว่าเฉลี่ยเดือนละ 350 ราย ประมาณชั่วโมงละ 2 คน
ทั้งๆที่ปัญหาเหล่านี้มีวิธีป้องกันได้แต่ก็ไม่เคยหมดไปจากสังคมเลย วันนี้ผู้เขียนจึงขอนำเสนอวิธีการป้องกันการฆ่าตัวตายในแบบโปแอคทีฟ(proactive :มีความหมายยิ่งกว่าคำว่ากระตือรือล้น)ที่ได้ผลดียิ่ง ซึ่งผู้เขียนเคยรณรงค์ให้ความรู้เช่นนี้กับบางพื้นที่อย่างจริงจังมาแล้ว โดยมีหลักคิด2ข้อดังต่อไปนี้
ข ณะเดียวกันตัวเราทุกๆคนก็ควรพึงสังเกตตนเองอย่างสม่ำเสมอเช่นกันว่า เมื่อไหร่ที่ตนเองรู้สึกโศกเศร้า น้อยใจ วิตกกังวลหรือหวาดระแวงมากจนปรับตัวลำบากและเป็นทุกข์ ก็ควรตระหนักว่าสุขภาพใจเริ่มป่วยแล้ว อย่ามีอคติและอย่าอายที่จะปรึกษาใครๆ ที่เราไว้ใจได้ และรีบมาพบหมอทางใจโดยฉับไว ก็จะช่วยป้องกันตนเองจากปัญหาสุขภาพจิตและฆ่าตัวตายได้เช่นกัน
แทบทั้งหมดของผู้ที่ฆ่าตัวตายได้สำเร็จ ทั้งเจ้าตัวและคนใกล้ชิดมักจะขาดความรู้และขาดความตระหนักทั้งข้อ1และข้อ2แบบโปรแอคทีฟนั่นเอง. ดังนั้นเมื่อไหร่ที่พบว่าผู้ที่อยู่ใกล้ชิดเรามีปัญหาสุขภาพจิต พึงต้องมีวิธีคิดและวิถีปฏิบัติแบบโปรแอคทีฟด้วยการ”#เข้าใจใส่ใจฉับไวและจริงจัง” ดังที่ได้อธิบายผ่านมาแล้วนั้นก็จะช่วยป้องกันการฆ่าตัวตายได้ดียิ่งขึ้น
พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่าสิ่งที่เกิดได้ยากยิ่งมีอย่างน้อย4ประการ หนึ่งในนั้นคือ #การเกิดเป็นมนุษย์ ดังนั้นมนุษย์ทุกคนไม่ว่าจะเกิดมายากดีมีจนพิกลพิการใดๆก็ตาม ถือว่าโชคดียิ่งทั้งสิ้นที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ เพื่อเรียนรู้ชีวิตและพัฒนาจิตตนเองให้ดีงามและสูงส่งยิ่งขึ้น มิใช่เกิดมาเพื่อชดใช้กรรมดั่งที่คนจำนวนหนึ่งมักจะพูดกันดังนั้นหากต่างคนต่างดูแลทั้งตัวเองและดูแลกันและกัน การช่วยเหลืออย่างฉับพลันก็จะป้องกันการฆ่าตัวตายได้แน่นอน