In บทความ, วุฒิพงศ์ ถายะพิงค์

<p>

คุณค่าแห่งแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์

“ตลอดเวลาที่ดิฉันทำงานอยู่ในวงการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยนั้น ได้เรียนรู้และมีประสบการณ์มากมายที่สร้างความประทับใจและทำให้เกิดแรงบันดาลใจที่จะมุ่งมั่นทำงานพัฒนาการศึกษานอกระบบและ การศึกษาตามอัธยาศัยให้ดียิ่งขึ้น ด้วยความรู้สึกที่เห็นคุณค่ามากมายดังตัวอย่างที่จะเล่าให้ฟังดังต่อไปนี้ต่อไปนี้”

images

การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยเป็นการศึกษาที่เปิดโอกาสการเรียนรู้แก่ผู้คนทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวัยทำงานและวัยสูงอายุที่หลายคนหวนกลับมาเรียนหนังสืออีกครั้งหนึ่ง ด้วยบุคคลเหล่านี้เมื่อครั้งที่ยังเป็นเด็กและวัยรุ่นซึ่งควรเป็นวัยเรียนนั้นขาดโอกาสทางการศึกษา อาจเพราะพ่อแม่ผู้ปกครองไม่สามารถส่งให้เรียนหนังสือได้ จึงมุ่งมั่นแต่การทำงานในอาชีพต่างๆจนประสบความสำเร็จ บางคนเป็นนักธุรกิจใหญ่โต บางคนมีหน้าที่การงานเป็นที่ยอมรับนับถือของสังคม แต่เขาเหล่านั้นอาจขาดการได้รับการยอมรับนับถือด้านการศึกษา จึงหันมาศึกษานอกระบบเพื่อยกวิทยฐานะด้านการศึกษาของตนเองให้เป็นที่ภาคภูมิใจในที่สุด ดังเช่นนักศึกษาวัย56ปีคนหนึ่งบอกกับครูว่า “กศน.เป็นเส้นทางเดินให้เขาถึงฝั่งฝันจนเรียนจบปริญาตรีในวันที่เขาได้ส่งลูกเขาเรียนหนังสือจนจบปริญาโทแล้ว” ซึ่งส่งผลให้ครูกศน.มีความภาคภูมิใจยิ่งที่ได้ช่วยเหลือบุคคลเหล่านี้ให้ได้พัฒนาตนเองและมีการศึกษาเป็นที่ยอมรับนับถือยิ่งขึ้น

มีความภาคภูมิใจที่ได้ช่วยเหลือเด็กนักเรียนที่ถูกให้ออกจากการศึกษาในระบบที่อาจมีความผิดพลาดต่างๆผ่านมา ซึ่งนักเรียนนักศึกษาเหล่านี้มักจะถูกมองว่าเป็นเด็กเกเรและไร้ความรับผิดชอบ แต่เมื่อมาเรียนการศึกษานอกระบบกับเรา ครู กศน.ทุกคนต่างช่วยกันดูแลทั้งการเรียนและความประพฤติส่วนตัว รวมทั้งให้ทำกิจกรรมเสริมสร้างทักษะทางสังคมต่างๆที่เขาถนัดและชื่นชอบ โดยประสานงานกับผู้ปกครองอย่างใกล้ชิด จนกระทั่งเขาเหล่านี้ประสบความสำเร็จเรียนจนจบมัธยมศึกษาตอนปลายและเรียนต่อในระดับอุดมศึกษาได้ หรือบางคนออกไปช่วยเหลือพ่อแม่ผู้ปกครองทำงานที่สุจริต ซึ่งสร้างความภาคภูมิใจให้ทั้งครูผู้สอนและพ่อแม่ผู้ปกครองเป็นอย่างยิ่ง เขาเหล่านั้นกลับมาขอบคุณครูที่ศูนย์การศึกษานอกระบบและการการศึกษาตามอัธยาศัยและชื่นชมว่าเป็นทางเลือกทางการศึกษาที่ทำให้ลูกของเขามีโอกาสได้พัฒนาตัวเองขึ้นอีกครั้งหนึ่งได้เป็นอย่างดี

มีอยู่เทอมหนึ่งได้รับนักศึกษาหญิงวัย 20 ปีเข้ามาเรียนในระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย หลังจากเรียนได้ระยะหนึ่งเธอก็หายไปจากระบบการศึกษา ดิฉันและครูผู้สอนจึงติดตามไปถึงบ้านก็พบว่าที่เธอไม่ได้มาเรียนนั้นเพราะเธอคลอดบุตร นั่นคือเมื่อครั้งมาสมัครเรียนนั้น เธอตั้งครรภ์ได้หลายเดือนแล้วแต่ด้วยเป็นท้องแรกจึงมองไม่ค่อยเห็น เมื่อเราพบความจริงเช่นนั้นจึงได้ประสานกับนักศึกษาคนดังกล่าวว่ายังประสงค์จะเรียนอยู่หรือไม่ ถ้ามีความต้องการจะเรียนอยู่ครูจะมาสอนถึงบ้านเลย และให้ทำโครงงานที่บ้านของเธอส่งนั่นคือ วิธีการเลี้ยงลูกวัยทารกซึ่งเธอต้องทำอยู่จริงๆ นอกจากนั้นยังพบอีกว่าสามีของเธอซึ่งเป็นพนักงานรับเหมาก่อสร้างนั้นก็ยังไม่ได้เรียนหนังสือจึงเชิญชวนให้เรียนพร้อมกัน ปรากฏว่าสามีของเธอก็ตกลงเรียนเป็นเพื่อนเธอ จนสำเร็จการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลายพร้อมกันในที่สุด

ทุกครั้งที่เห็นสีหน้าแววตาและท่าทีของผู้ปกครองที่พาลูกที่ถูกให้ออกจากโรงเรียนในระบบหรือเคยทำผิดพลาดในเรื่องต่างๆเช่นไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด ตั้งครรภ์ในวัยเรียนและเคยไปยุ้งเกี่ยวกับอบายมุขต่างๆผ่านมา และนำมาฝากฝังครูที่ศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยให้เรียนหนังสือกับเรา ดูเหมือนจะเป็นความหวังแหล่งสุดท้ายที่เขาคาดหวังจะให้ลูกหลานของเขาดีขึ้นทั้งการศึกษาและความประพฤติ การได้เห็นแววตาแห่งความคาดหวังเช่นนั้นส่งผลให้ดิฉันและทีมงานมีความทุ่มเทมุ่งมั่นในการพัฒนาการเรียนการสอนและดูแลนักศึกษาเสมือนญาติของตนเอง และประสานงานกับทุกหน่วยงานและทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องเพื่อจะพัฒนานักศึกษาให้เป็นคนดีของสังคมต่อไป

นั่นคือเรื่องเล่าเกี่ยวกับแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์(achievement) จากคุณครูการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย เมื่อครั้งที่ผู้เขียนไปเป็นวิทยากรอบรมในหัวข้อดังกล่าวให้กับคุณครูกศน. ซึ่งสร้างความประทับใจให้ทั้งผู้เรียนและตัววิทยากรเองเป็นอย่างยิ่ง ด้วยรู้สึกซาบซึ้งกับความสำเร็จในผลลัพธ์ของการทำงานต่างๆเหล่านั้น แรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์หมายถึงแรงจูงใจที่บุคคลมีความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะกระทำการใดๆโดยใส่ใจที่ผลลัพธ์ของงานนั้นๆมิใช่การใส่ใจในสินจ้างรางวัลหรือสิ่งตอบแทนทางวัตถุนิยมที่จะได้รับ แต่ใส่ใจในสิ่งที่เป็นคุณค่าทางจิตนิยมที่จะได้รับกลับมา คือความรู้สึกดีงามที่อิ่มเอิบเบิกบานใจที่ได้ช่วยเหลือผู้อื่นให้ประสบความสำเร็จและได้ทำงานนั้นๆให้ประสบความสำเร็จในที่สุด

บุคคลที่มีแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์สูง ไม่ว่าจะทำงานใดๆก็จะประสบความสำเร็จอย่างยิ่งยวดกว่าคนอื่นๆเสมอ เพราะคนเหล่านี้จะมีพลังทางความคิดและความรู้สึกที่แรงกล้าในสิ่งที่เขาต้องการความสำเร็จตามเป้าหมายหรือวัตถุประสงค์ที่ตัวเขาเองได้ตั้งไว้ ไม่ว่างานทางราชการ รัฐวิสากิจหรือธุรกิจเอกชนใดๆก็ตาม องค์กรใดใดหากมีพนักงานที่มีแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์เช่นนี้เป็นจำนวนมาก จะส่งผลให้ผลงานขององค์กรเกิดการพัฒนาอย่างต่อเนื่องและมีองค์ความรู้ใหม่ๆเกิดขึ้นเสมอ อันเกิดจากบุคลากรที่มีแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์สูงนั่นเอง

การฝึกฝนให้เป็นคนที่มีแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์สูงนั้นสามารถทำได้โดยการตั้งเป้าหมายในชีวิตหรือเป้าหมายในการทำงานให้ชัดเจน จากนั้นใส่ใจที่เป้าหมายและผลลัพธ์ของการทำงานนั้นๆ ตลอดถึงผลที่เกิดจากผลลัพธ์ของงานที่ได้ช่วยเหลือเกื้อกูลผู้อื่นให้อยู่เย็นเป็นสุขมีชีวิตที่ดีขึ้นมีสังคมที่ดีขึ้น(out come)ดังตัวอย่างของคุณครู กศน.ที่ผู้เขียนเล่ามา โดยไม่หวังสิ่งตอบแทนทางวัตถุนิยม หากฝึกคิดฝึกรู้สึกและฝึกกระทำเช่นนี้ซ้ำๆครั้งแล้วครั้งเล่าจะส่งผลให้เป็นคนที่มีแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์สูงขึ้นทีละนิดทีละนิดจนเป็นพลังที่ยิ่งใหญ่จากภายในของคนๆนั้นและจะทำการณ์ทำใดๆก็จะประสบความสำเร็จในที่สุด

Assoc. Prof. Dr. วุฒิพงศ์ ถายะพิงค์

นักส่งเสริมสุขภาพจิตด้วยสหศาสตร์ ประธานสถาบันพัฒนาศักยภาพมนุษย์และกลยุทธ์สู่ความสำเร็จ wuttipong academy นักเขียนด้านสุขภาพจิตการสื่อสารและศาสนาปรัชญา สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, มติชน, อมรินทร์ธรรมะ, ซีเอ็ด, ดีเอ็มจี และวิชบุ๊ก

</p>

Recommended Posts