In บทความ, วุฒิพงศ์ ถายะพิงค์

ความสุขสากล

ความสุขเป็นความต้องการที่เป็นสากลของมนุษยชาติทุกเผ่าพันธุ์ ไม่มีมนุษย์คนใดที่เกิดมาแล้วไม่ต้องการความสุข ทั้งความสุขจากสิ่งกระตุ้นเร้าภายนอกและความสงบสุขภายในจากจิตใจของเราเอง ที่มาของคำว่าความสุขสากลนั้นคือองค์การสหประชาชาติได้ประกาศให้วันที่ 20 มีนาคมของทุกปีตั้งแต่ปี 2555 เป็นต้นมาเป็นวันแห่งความสุขสากล โดยกระตุ้นให้ประชาชนทั่วโลกใส่ใจในเรื่องของความสุข ซึ่งเป็นเป้าหมายขั้นพื้นฐานของชีวิตที่มนุษย์พึงได้รับ

children-1822704_1920

สำหรับที่มาของวันแห่งความสุขสากลนั้นเกิดจากองค์การสหประชาชาติได้รับรู้ถึงความสุขมวลรวมของประชาชนในประเทศภูฏาน ซึ่งจากการวัดความสุขแล้วพบว่าเป็นประเทศที่มีความสุขที่สุดในโลกซึ่งควรประชาสัมพันธ์ให้ทุกประเทศทั่วโลกได้รับรู้ กระทั่งสร้างแรงบันดาลใจให้กับกลุ่มประเทศต่างๆให้หันมาใส่ใจสร้างความสุขที่เป็นสากลร่วมกัน

การสร้างความสุขสากลนั้น มีวิธีการและหลักเกณฑ์หลายประการแต่สำหรับบทความนี้ผู้เขียนมุ่งที่จะอธิบายเพียงห้าประเด็นเท่านั้น นั่นคือ 1)ความสัมพันธ์ที่ดีและมีความไว้วางใจกันในชุมชน 2)การมีค่านิยมที่เอื้อต่อความสุขและศาสนา 3)ความสัมพันธ์ที่ดีในครอบครัว 4)ความเข้มแข็งของเครือข่ายในสังคม และ5)ความเท่าเทียมทางเพศในสังคม ซึ่งอธิบายพอสังเขปได้ดังนี้

1) การมีความสัมพันธ์ที่ดีและมีความไว้วางใจกันได้ในชุมชน ด้วยทฤษฎีทางจิตวิทยาได้อธิบายถึงความสุขและความต้องการขั้นพื้นฐานของมนุษย์ไว้อย่างหนึ่งว่า มนุษย์ทุกคนต้องการมิตรภาพและความผูกพัน ซึ่งมิตรภาพและความผูกพันนั้นจะช่วยทำให้มนุษย์รู้สึกมีความสุขจากความผูกพัน ทั้งความผูกพันในปัจเจกชนและชุมชน กล่าวคือมนุษย์เป็นสัตว์สังคม ต้องอยู่ร่วมกันเป็นกลุ่มชน ดังนั้นความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันตลอดจนมีความปลอดภัยไว้วางใจซึ่งกันและกันได้ในสังคมจะช่วยทำให้เกิดความสุขได้

2) การมีค่านิยมที่เอื้อต่อความสุขและศาสนา สำหรับค่านิยมที่เอื้อต่อความสุขและศาสนานั้นหมายถึงระบบความคิดความเชื่อของบุคคลและชุมชนที่เอื้อต่อการสร้างความรักความสามัคคีช่วยเหลือเกื้อกูลและไร้การเบียดเบียนซึ่งกันและกัน ตลอดจนมีความเชื่อมั่นในศาสนาที่แต่ละคนนับถือ กระทั่งนำหลักธรรมทางศาสนามาเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตเพื่อสร้างค่านิยมแห่งคุณงามความดีให้เกิดความสงบสุขทางจิตใจร่วมกันนั่นเอง

3) มีความสัมพันธ์ที่ดีในครอบครัว ครอบครัวถือเป็นสถาบันพื้นฐานในสังคมที่หล่อหลอมบุคคลให้เป็นคนดีมีจิตใจเมตตากรุณาและเป็นคนที่มีคุณภาพในสังคม ความสัมพันธ์ที่ดีในครอบครัวนั้นเริ่มจากมีความรักความอบอุ่นความเข้าใจที่ดีต่อกันของบุคคลต่างเพศต่างวัย ตลอดจนมีการช่วยเหลือเกื้อกูลกันในครอบครัว กระทั่งร่วมกันชื่นชมยินดีในสิ่งที่ดีงามและในความสำเร็จต่างๆของบุคคลในครอบครัว พร้อมทั้งเป็นสายสัมพันธ์ที่เกื้อหนุนดูแลเอาใจใส่ต่อกันทั้งในยามสุขและยามทุกข์ร่วมกัน

4) ความเข้มแข็งของเครือข่ายในสังคม เครือข่ายความสัมพันธ์ในสังคมนั้นมีมากมายหลายรูปแบบ เช่น เครือข่ายของเด็กและเยาวชน เครือข่ายของสตรีและแม่บ้าน เครือข่ายของพ่อบ้าน เครือข่ายสมาคมชมรมผู้สูงอายุ ตลอดจนเครือข่ายสมาคมชมรมของผู้ประกอบวิชาชีพต่างๆ เป็นต้น หากเครือข่ายต่างๆในสังคมมีความเข้มแข็งและมีความสัมพันธ์ในเชิงเกื้อกูลต่อกัน จะช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่ดีและมีความสุขในสังคมได้อย่างเหมาะสม

5) ความเท่าเทียมกันทางเพศในสังคม ในสังคมที่มีความหลากหลายทางเพศและต่างเพศต่างวัย จำเป็นที่แต่ละบุคคลจะต้องให้เกียรติซึ่งกันและกัน และเคารพสิทธิเสรีภาพทางเพศต่อกัน ตลอดจนการทำหน้าที่การงานและปฏิสัมพันธ์ทางสังคมต่างๆที่สัมพันธ์กับเพศภาวะของแต่ละบุคคล เพราะหากบุคคลมีความภาคภูมิใจในเพศสภาพของตนและได้รับการยอมรับนับถือในสังคมแล้ว จะเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดความสุขทั้งในระดับปัจเจกบุคคลและสังคมได้อีกทางหนึ่ง

หลักการสร้างความสุขสากลทั้งห้าประการดังกล่าว ผู้เขียนได้สังเคราะห์มาเฉพาะประเด็นที่เกี่ยวกับความสัมพันธ์ของบุคคล ความสัมพันธ์ในครอบครัวและความสัมพันธ์ทางสังคมตลอดจนสัมพันธ์กับศาสนา และสิทธิเสรีภาพทางเพศเท่านั้น ยังมีปัจจัยพื้นฐานอย่างอื่นอีกหลายประการ แต่เชื่อว่าหากทุกคนสามารถปฏิบัติได้ทั้งห้าข้อดังกล่าว ก็จะสามารถสร้างความสุขที่เป็นสากลได้ทั้งในระดับปัจเจกบุคคล ครอบครัวและสังคมโดยรวมได้โดยทั่วกัน

Assoc. Prof. Dr. วุฒิพงศ์ ถายะพิงค์

ประธานสถาบัน Wuttipong Academy และสถาบันจิตเกษมเพื่อการพัฒนาคุณภาพจิตและการจัดการเชิงคุณภาพ และกรรมการบริหารมูลนิธิสุขภาพจิตโรงพยาบาลสวนปรุง

Recommended Posts