ขึ้นชื่อว่า”รัก”นั้นมีหลากหลายรูปแบบ และรูปแบบรักที่มักจะไม่ปลอดภัยและไร้การสร้างสรรค์นั้นคือ รักคุต รักหล่ม รักลวง หึงหวงแบบโหดร้าย เง้างอนรุณแรงจนต่อกันไม่ติด ไปถึงขั้นทำผิดจารีตประเพณีและกฏหมายบ้านเมืองด้วยการทำร้ายร่างกายและข่มขืนเข่นฆ่าก็พบเห็นไม่เว้นแต่ละวัน จากการนำเสนอข่าวทางสื่อสารมวลชน และนี้คือ ความรักเชิงชู้สาวหรือเชิงสัมพันธ์สวาทหรือความรักแบบคู่รักนั่นเอง เช่นนั้นแล้ว”หากจะมีรักแล้วให้ปลอดภัยและสร้างสรรค์จะต้องทำอย่างไร?”
#ควรใช้ความรักเพื่อการสร้างสรรค์ต่อชีวิต
เ ป็นธรรมดา ที่มนุษย์จะต้องมีความรักเชิงสัมพันธ์สวาท เพราะเกิดจากทั้งแรงขับด้านร่างกายและจิตใจ กล่าวคือ เมื่อฮอร์โมนทางเพศมีความพร้อมที่จะสร้างความสุขด้านร่างกาย และการสืบทอดเผ่าพันธุ์กระทั่งสานสัมพันธ์ต่อมวลหมู่สมาชิกในฐานะที่เป็นสัตว์สังคมนั่นเอง ซึ่ง ซิกมันด์ ฟรอยด์(sigmund freud) ประสาทแพทย์และนักจิตวิทยาแห่งประเทศออสเตรียอธิบายไว้ว่า มนุษย์เรานั้น มีแรงขับทางเพศ (sexual drive) และ แรงขับแห่งความก้าวร้าว (agressive drive) เป็นปัจจัยภายในที่ขับเคลื่อนชีวิตเราอยู่ตลอดเวลา เพียงแต่มีระบบศีลธรรมจรรยาของแต่ละสังคมควบคุมไว้ ให้มีการแสดงออกที่เหมาะสมอีกชั้นหนึ่ง
ระบบศีลธรรมจรรยาและการรู้เท่าทันธรรมชาตินี้แหละ ที่จะช่วยควบคุมความรักเชิงชู้สาวให้ปลอดภัยและสร้างสรรค์ กล่าวถึงเรื่องแรกกันก่อนคือ การรู้ทันธรรมชาติทางจิตใจและร่างกายของมนุษย์ทั้งหญิงและชายที่แตกต่างกัน โดยที่ฝ่ายหญิงนั้น เมื่ออยู่ใกล้ผู้ชายความพร้อมด้านร่างการต่อความรู้สึกและความต้องการทางเพศจะช้ากว่าผู้ชายมาก เขาจะเพียงรู้สึกอบอุ่นและภูมิใจที่มีคนดูแลและปกป้องคุ้มครอง โดยมิใช่ความรู้สึกทางเพศเป็นตัวเหนี่ยวนำ แต่! ธรรมชาติของผู้ชายนั้น เมื่ออยู่ใกล้ชิดผู้หญิงแล้ว ทั้งร่างกายและจิตใจจะไวต่อความพร้อมในเรื่องเพศมาก ดังนั้นหากชายหญิงอยู่ใกล้ชิดและจับมือถือแขนกระทั่งโอบกอดกันนั้น ฝ่ายหญิงเพียงแค่รู้สึกอุ่นใจ แต่ฝ่ายชายมักจะเกิดความต้องการทางเพศขึ้นมาทันที จึงเกิดการโอ้โลมปฏิโลมไปจนถึงขั้นอาจคุกคามและขืนใจทางเพศต่อฝ่ายหญิงได้ ยิ่งหากมีการใช้เครื่องดื่มแอลกอฮอลล์ร่วมด้วยแล้ว ยิ่งเสี่ยงต่อการถูกคุกคามทางเพศและถูกทำร้ายยิ่งขึ้น
ดังนั้นชายหญิงทั้งหลายโดยเฉพาะวัยรุ่น การอยู่ให้ห่างๆกันไว้นั้นปลอดภัยแน่นอน พูดง่ายๆคือไฟสวาทจะได้ไม่ช็อดกันนั้นเอง เมื่อหวนคิดถึงจารีตไทยเดิมของเราที่ว่า “หญิงพึงรักนวลสงวนตัวชายพึงให้เกียรติผู้หญิงนั้น” สำคัญแท้เชียว เพราะช่วยป้องกันมิให้ชายหญิงใกล้ชิดกันจนจับเนื้อต้องตัว ซึ่งจะช่วยป้องกันการคุกคามทางเพศ ปัญหาท้องก่อนแต่ง โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ไปจนถึงขั้นการกระทำชำเราและข่มขืนต่อผู้หญิงได้ และนี้คือ”หนึ่งในการรู้เท่าทันธรรมชาติและใช้ความรู้เท่าทันนี้ มาดักทางเพื่อป้องกันปัญหานั่นเอง”
ประการต่อมา ความไม่ปลอดภัยจากการถูกคู่รักทำร้ายนั้นก็สำคัญยิ่ง ควรป้องกันไว้ตั้งแต่เริ่มคบหาดูใจกัน โดยสังเกตดูว่า เขาเป็นคนก้าวร้าว เห็นแก่ตัว เอาแต่ใจตนเองเป็นใหญ่ ขาดความเข้าใจเห็นใจผู้อื่น หึงหวงอย่างขาดเหตุผล แสดงอารมณ์และการกระทำฉุนเฉียวรุณแรงทั้งต่อตนเองและผู้อื่น หากพบว่าคนที่เราเริ่มคบหามีพฤติกรรมดังกล่าว ก็ควรรีบออกห่าง เพราะหากยังดื้อดึงคบกันต่อไป อาจไม่ปลอดภัยต่อชีวิตสมรสในอนาคต เรียกว่า”ปลอดภัยเพราะไหวตัวทันนั่นเอง”
แ ต่! หากชะตาชีวิตได้สมรสกันไปซะแล้ว แต่มาพบปัญหาดังกล่าวภายหลัง อาจทั้งความก้าวร้าว การทำร้ายร่างกาย การติดสารเสพติด และติดการพนันฯ ก็พึงมีความเมตตากรุณาต่อกัน แล้วเข้าสู่กระบวนการรักษาจากจิตแพทย์และนักสุขภาพจิต อาจด้วยวิธีการให้การปรึกษา การสอนเรื่องการสื่อสารในครอบครัว การทำจิตบำบัด พฤติกรรมบำบัด บางรายอาจถึงขั้นต้องใช้ยาทางจิตเวช ก็จะช่วยปรับปรุงแก้ไขให้เกิดความสงบสุขในชีวิตรักได้เป็นอย่างดี
และหากต้องการให้อีกฝ่ายหนึ่งทำสิ่งใด ควรสื่อสารเพื่อขอความร่วมมือต่อกัน ด้วยน้ำเสียงที่สุภาพและเป็นมิตรมิใช่การสั่งการข่มขู่หรือพูดกระทบกระเทียบเหน็บแนมหรือเย้ยหยัน นอกจากนั้นหากพบว่าใครมีคุณงามความดีและพบความสำเร็จใดๆในชีวิต ก็ควรแสดงความชื่นชมยินดีต่อกันอย่างสม่ำเสมอ และหากเกิดความผิดพลาดหรือเหตุร้ายใดๆในชีวิต ก็ควรให้อภัยและเป็นกำลังแก่กันและกัน หากคู่รักใดแสดงออกและสื่อสารต่อกันดังเช่นที่กล่าวมา นั่นคือท่านได้แปลงรักให้เป็นการสื่อสาร เพื่อสร้างรักอย่างยั่งยืนนั่นเอง
ส่วนเรื่องของการรักอย่างสร้างสรรค์นั้น มีทั้งรูปแบบการแสดงความรักที่สร้างสรรค์และการนำความรักมาใช้อย่างสร้างสรรค์ เนื่องด้วยความรักเป็นนามธรรมดังนั้นการแปลงความรักให้เป็นรูปธรรม ทั้งการสื่อสารและการแสดงออกจึงสำคัญยิ่ง กล่าวคือควรแสดงความรักด้วยการแสดงการดูแลเอาใจใส่และเรียนรู้จักคนที่เรารักให้มากที่สุด เพื่อจะได้ช่วยเหลือเกื้อกูลและรับมือกับท่าที่ต่างๆของคนที่เรารักได้อย่างเหมาะสม
ส่วนเรื่องการนำความรักมาใช้อย่างร้างสรรค์นั้น จะช่วยให้คนเราเกิดพลังใจในการมุ่งมั้นฟันฝ่าสู้ปัญหาชีวิต และนำพาเราไปสู่ความสำเร็จได้สารพัดอย่าง จากผลการศึกษาและการให้บริการปรึกษาสุขภาพจิตของผู้เขียนเองพบว่า ผู้ป่วยหลายรายที่มีอาการดีขึ้นและหายจากการเจ็บป่วยเพราะได้รับความรักและกำลังใจจากคนรักนั่นเอง และยังพบอีกว่า ผู้ที่มีความมุ่งมั้นฟันฝ่าอุปสรรคจนพบความสำเร็จอย่างสูงสุดที่ตนฝันไว้นั้น ล้วนสัมพันธ์กับการมีคนที่ตนเองรักเป็นแรงบันดาลใจให้เกิดพลังอึดฮึดสู้ สู่ความสำเร็จแทบทั้งสิ้น นี้เรียกว่า”ใช้ความรักเพื่อการสร้างสรรค์ต่อชีวิตนั่นเอง”
และควรแปลงรักให้เป็นการสื่อสารนั่นคือ พูดกันด้วยระดับเสียงกลางๆไม่ใช้เสียงสูงหรือต่ำจนเกินไป พบรายงานวิจัยจากต่างประเทศหลายชิ้นบ่งชี้ว่า ภรรยาที่พูดเสียงสูงกับสามีเป็นเหตุให้สามีชอบหนีออกจากบ้าน เป็นต้น และ ควรพูดด้วยจังหวะที่พอดีไม่เร็วหรือช้าจนเกินไป การใช้น้ำเสียงเช่นนี้ในจิตวิทยาการสื่อสารบ่งชี้ว่า เป็นน้ำเสียงแห่งความรักและเมตตาเฉกเช่นเสียงของพระเอกบอกรักนางเอกในละครโทรทัศน์นั่นเอง นอกจากนี้ควรสื่อสารตามหลักการของอีริกเบิร์น(Eric Berne)จิตแพทย์ชื่อดังแห่งอเมริกาซึ่งได้อธิบายไว้ในทฤษฏีการสื่อสารระหว่างบุคคล(transactional analysis)ว่า ควรสื่อสารกันด้วยความมีเหตุผลแบบผู้ใหญ่และมีเนื้อหาที่แสดงความห่วงใยใส่ใจต่อกันอีกด้วย
กล่าวโดยสรุปก็คือ การรู้เท่าทันธรรมชาติของตนเองทั้งชายหญิงแล้วนำมาเป็นแนวทางให้รู้เท่าทันเพื่อป้องกันปัญหา ตลอดจนห่างไกลจากเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์ และหมั่นสังเกตดูพฤติกรรมคู่รักของตนตั้งแต่แรกคบ หากพบนิสัยที่ไม่เป็นคุณดังที่กล่าวมา ก็ควรรีบอำลาออกมาเสียจะได้ไม่ช้ำใจยาวนานภายหลัง และหากแต่งงานอยู่กินกันฉันคนรักเรียบร้อยแล้วก็ควรแปลงรักให้เป็นการสื่อสารด้วยการชื่นชมในคุณงามความดีของกันและกัน และต่างก็ใช้คนรักและความรักมาเป็นแรงบันดาลใจแก่กัน หากทำเช่นนั้นได้ทุกๆวันความรักจะยั่งยืนตลอดไป